ช่องว่างทีมชาติไทยกับ Top Asia เหลือแค่ไหน?
.ทีมชาติไทยภายใต้การกุมบังเหียนของโค้ช “ซิกโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตั้งแต่ชุดแชมป์ซีเกมส์ปี 2556 ต่อเนื่องมาที่แชมป์ AFF SUZUKI CUP เรื่อยมาจนถึงขณะนี้เราเป็นแชมป์กลุ่ม F ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย หากมองในแง่ของปรากฏการณ์กระแสฟุตบอลบอลฟีเวอร์นั้น เรียกว่าโค้ชซิโก้สามารถกอบกู้ศรัทธาจากที่เคยติดลบให้กลับมาเป็นกระแสสนับสนุนอย่างล้นหลามได้อย่างน่าชื่นชม
.
เป้าหมายต่อไปอยู่ที่การพาทีมชาติไทยไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องผ่านรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ให้ได้ โควตา 4 ทีมครึ่งสำหรับทีมในโซนเอเชียนั้น ถามว่ามีโอกาสความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ทีมชาติไทยจะคว้าตั๋วเข้าร่วมรอบสุดท้าย คงต้องมองไปที่องค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนด้วยกันคือ หนึ่งทีมเราเอง และสองคือคู่ต่อสู้
.
แน่นอนว่ารอบ 12 ทีมสุดท้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆยิ่งถ้ามองไปถึงทีมที่ไปแน่นอนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าประจำฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ซาอุดิอาระเบีย นั้นมากันครบ พ่วงมาด้วยทีมเบอร์ใหญ่อย่าง อุซเบกิสฐาน อิหร่าน และกาตาร์ และอาจจะมีทีมอย่าง UAE เกาหลีเหนือ จีน คูเวตหรือ โอมาน เข้ามาสมทบ เพราะฉะนั้นไม่ว่าไทยเราจะจับไปอยู่สายไหนก็ตามล้วนแต่หนักทั้งสิ้น
.
ไหนๆก็ไหนๆถ้า “เป้าหมาย” ของทีมชาติอยู่ที่ไปบอลโลก ก็ให้คิดไปถึงการหาหนทางที่จะสู้กับทีมเจ้าประจำไปเลยดีกว่า ทำอย่างไรถึงจะต่อกรกับทีมระดับนั้นได้ ถ้าเรายกระดับให้เทียบเท่ากับทีมเหล่านั้นได้ ก็ไม่ต้องมองถึงทีมในระดับที่รองลงมา แต่เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบของฟุตบอล คือ เทคนิค ฟิตเนส แทคติค และ ทัศนคติ เรายังอาจเป็นรองอยู่พอสมควร ทำอย่างไรที่เราจะลดช่องว่างให้ใกล้เคียงและใช้เวลาอันสั้นที่สุด ลองจำแนกอย่างคราวๆประมาณนี้นะครับ จะได้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
.
เทคนิค หรือความสามารถเฉพาะตัว ชั่วโมงนี้แม้จะเป็นรองก็ไม่มาก เค้าเลี้ยงหลบเราได้ เราก็เลี้ยงหลบเค้าได้ ผ่านบอล 5 หลา 15 หลา ความแม่นยำก็ใกล้เคียง เอาล่ะ เรื่องเทคนิคอาจเป็นรองอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับห่างชั้น
.
ฟิตเนส ด้วยความที่ฟุตบอลบ้านเราตอนนี้ลีกอาชีพดีวันดีคืน ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาก็ใช้แบบเดียวกันทั่วโลก ส่งผลให้กล้ามเนื้อ ความฟิต ความเร็ว ความแข็งแกร่ง นั้นบอกได้เลยว่าชนกับ เกาหลี ญี่ปุ่นได้สบาย บางทีถ้าเทียบกันตัวต่อตัว ตำแหน่งต่อตำแหน่งเผลอๆเราอาจเหนือกว่าก็ได้ แต่โดยรวมถือว่า ใกล้เคียงกันมากแล้วครับ
.
แทคติคและระบบ คือเรื่องที่น่าห่วงที่สุดในตอนนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมา ถ้าเราเจอทีมที่แทคติคไม่ดีหรือไม่มีวิธีการ เรามักจะสู้ได้เนื่องจากเทคนิคและฟิตเนสช่วยไว้ได้มาก เห็นได้จากรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ทีมอย่าง อิรัก ที่ดูว่าเหนือกว่าเรา แต่ทั้งสองนัดที่เจอกัน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า อิรัก นั้นไม่ได้มีรูปแบบการเล่นที่ดีเลย แม้จะมีความสามารถเฉพาะตัวที่ดีกว่าก็ใช่ว่าจะกินเราได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำยังแทบเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาทีมไทยพยายามปรับสไตล์การเล่นที่ดูสนุกขึ้น โดยเฉพาะเกมรุกนั้นมีการต่อบอลกันสวยๆให้เห็นหลายครั้ง แต่ก็ยังทำได้กับเฉพาะทีมในระดับที่ต่ำชั้นกว่าเท่านั้น เรายังไม่เห็นภาพแบบนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจอกับคู่แข่งที่เหนือกว่า เมื่อเราเจอทีมที่มีวิธีการ อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น เรามักจะตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดเสมอ มาตรฐานของทีมระดับนั้นผู้เล่นเล่นด้วยความเข้าใจฟุตบอลสูงกว่าเรามาก ทำให้ดูว่าเหนือกว่าเราค่อนข้างเยอะ กระนั้นก็ตามแม้ทีมเหล่านั้นจะมีแทคติคที่ว่าเหนือกว่าเรา แต่แต่ในมุมมองของผมก็ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบเท่าที่ควร แต่แน่นอนล่ะดีกว่าเราแน่ กำลังจะชี้ให้เห็นว่า “แทคติค” จึงเป็น “หัวใจ” ที่สำคัญของฟุตบอลที่แท้จริง แม้ด้านอื่นเป็นรองไม่มากแต่เมื่อแทคติคเป็นรองก็อย่างไรก็กลายเป็นละชั้นอยู่ดี
.
ทัศนคติ หรือ Attitude อันนี้ต้องบอกว่าขอยกความดีความชอบให้กับการที่เรามีลีกอาชีพที่แข็งแกร่งขึ้น ผู้เล่นทีมชาติไทยล้วนสังกัดอยู่ในสโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศทั้งสิ้น ในลีกผู้เล่นได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพของตัวผู้เล่นต่างชาติที่มาค้าแข้งในบ้านเราต้องบอกว่าช่วยยกมาตรฐานของผู้เล่นไทยในลีกได้มากเลยทีเดียว ทำให้เมื่อไปเล่นในระดับชาติผู้เล่นไทยจึงไม่กลัวผู้เล่นต่างชาติอีกต่อไป กระนั้นก็ตามหากมองในมุมของทีมที่เรากำลังไปเทียบชั้นแล้วล่ะก็ มุมมองที่ทีมเหล่านั้นมีต่อเราก็คือ แม้ทีมเราจะพัฒนามากขึ้นเพียงใดก็ตาม ทีมเหล่านั้นก็ยังคิดว่าเหนือกว่าเราอยู่ดี เนื่องจากความเข้าใจฟุตบอลที่สูงกว่าเรานั่นเอง
.
เมื่อนำทุกองค์ประกอบทุกด้านของฟุตบอลมาคำนวณระยะห่างระหว่างทีมไทยกับ ทีม Top Asia แม้เราจะดีขึ้นในเรื่องของเทคนิค และสมรรถภาพ หากแต่เรื่องของ แทคติค ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรายังเป็นรองอยู่มาก ซึ่งจะส่งผลไปยัง ทัศนคติของทีม ถ้าวันนี้เราคิดจะล้มทีมเหล่านั้นให้ได้ ก็ต้องหันกลับมาแก้เรื่อง ระบบ แทคติค และวิธีการเป็นการด่วน อย่างที่บอกไปเมื่อตอนต้นว่าแทคติคของทีมที่เหนือกว่าเราทำได้แค่ “ดีกว่า” แต่ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ นี่จึงเป็นจุดที่น่าสนใจว่าเรายังมีโอกาสพัฒนาเรื่องแทคติคให้ทัดเทียมและเหนือกว่าได้ด้วยซ้ำ ซึ่งผมยังเชื่อมันว่าด้วยศักยภาพของผู้เล่นทีมชาติไทยชุดนี้ รวมไปถึงผู้เล่นทีมชาติไทยในอนาคต นั้นสามารถพัฒนาไปถึงการเล่นฟุตบอลในเชิง “ยุทธศาสตร์” ได้แน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าโค้ชจะมองเห็นตรงจุดนี้หรือไม่ ที่สำคัญจะสร้างขึ้นมาได้หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาต้องบอกว่า แทคติคของทีมชาติไทยยังธรรมดาอยู่มากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น